การขยายอิทธิพลของประเทศต่างๆ
โปรตุเกส โปรตุเกสเป็นชาติแรกที่สามารถแล่นเรือจากยุโรปมายังอินเดีย โดยอ้อมแหลมแอฟริกามาถึงเมืองกาลิกูฏในอินเดียเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2041 ต่อมาได้เข้ายึดครองเมืองกัว ในอินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ใน พ.ศ. 2054 โปรตุเกสยึดมะละกาซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศที่สำคัญในสมัยนั้น โปรตุเกสประสบความสำเร็จในการค้าเครื่องเทศ จึงขยายอำนาจของตนเข้าไปในดินแดนหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน เช่น หมู่เกาะโมลุกกะหรือหมู่เกาะเครื่องเทศ และสร้างความยิ่งใหญ่ทางด้านกองทัพเรือ สามารถทำลายระบบการค้าแบบผูกขาดของชาติอาหรับได้สำเร็จ และได้ผูกขาดการค้าในภูมิภาคนี้แทนอาหรับ รวมทั้งได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองของอาณาจักรต่างๆ เช่น เป็นทหารอาสาสมัครในกองทัพไทยและพม่า เผยแพร่ความรู้ทางวิทยาการแก่ชาวพื้นเมืองโดยเฉพาะด้านการทหารแบบสมัยใหม่ นอกจากนั้นโปรตุเกสยังส่งมิชชันนารีเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น
สเปน สเปนได้ส่งนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อ แมกเจลแลน นำกองเรือออกจากสเปนอ้อมทวีปอเมริกาเข้ามหาสมุทรแปซิฟิกมาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2064 ต่อมาเกิดขัดแย้งกับชาวพื้นเมืองถึงขั้นสู่รบกัน แมกเจลแลนถูกฆ่าตาย ลูกเรือที่เหลือจึงนำเรือหนีออกจากฟิลิปปินส์เดินทางกลับผ่านช่องแคบมะละกา มหาสมุทรอินเดีย อ้อมแหลมแอฟริกากลับไปถึงสเปนได้สำเร็จ นับเป็นการเดินทางโดยทางเรือรอบโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
ฮอลันดา ฮอลันดาจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออก เพื่อค้าขายและขยายอำนาจในดินแดนโพ้นทะเล ฮอลันดาสนใจการค้าเครื่องเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะหมู่เกาะอินดัสตะวันออกหรือหมู่เกาะอินโดนีเซียในปัจจุบันซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเครื่องเทศ เรือสินค้าฮอลันดสพร้อมด้วยเรือรบคุ้มครองได้ขยายอำนาจในอินโดนีเซียด้วยการค้าขายกับชาวพื้นเมือง พร้อมทั้งถือโอกาสเข้าแทรกแซงทางการเมืองด้วยการช่วยเหลือทางทหารแก่สุลต่านซึ่งเป็นผู้ปกครองเกาะ
อังกฤษ อังกฤษจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกเพื่อค้าขายในดินแดนโพ้นทะเล และเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังฮอลันดา 5 ปี ในระยะแรกพ่อค้าอังกฤษไม่สามารถค้าขายแข่งขันกับฮอลันดาได้ ประกอบกับกองทัพเรืออังกฤษยังไม่เข้มแข็งเท่าฮอลันดา อังกฤษจึงต้องถอนตัวออกจากการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปช่วงระยะหนึ่ง
ฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกเพื่อทำหน้าที่ค้าขายและขยายอำนาจ เช่นเดียวกับอังกฤษและฮอลันดา นอกจากฝรั่งเศสสนใจการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ฝรั่งเศสยังสนใจเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก เช่นเดียวกับโปรตุเกสและสเปนอีกด้วย

แผนที่ประเทศไทยสร้างโดยนักภูมิศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
ที่เดินทางมาอยุธยา พ.ศ. 2229 สมัยจักรวรรดินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นไป ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยจักรวรรดินิยม เพราะชาติตะวันตกเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายจากเดิมที่มุ่งติดต่อค้าขายและเผยแผ่ศาสนา มาเป็นการมุ่งยึดครองและเข้าปกครองดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเป็นดินแดนอาณานิคม ทั้งนี้เพราะปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1.ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมทำให้ชาติตะวันตกสามารถผลิตสินค้าใหม่ๆ ได้เป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องขยายตลาดการค้าและแหล่งวัตถุดิบให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
2.ประเทศต่างๆ ในยุโรปเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจมาเป็นแบบทุนนิยม รัฐบาลมีหน้าที่ส่งเสริมบริษัทเอกชนเข้าไปลงทุนในดินแดนอาณานิคม ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเข้าไปปกครองอาณานิคมโดยตรง เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของบริษัทเอกชน และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในอาณานิคมส่งกลับไปบำรุงเมืองแม่
3.ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการคมนาคมขนส่งทางเรือ โดยเฉพาะการใช้เรือกลไฟบรรทุกสินค้าข้ามทวีป ตลอดจนความสำเร็จในการขุดคลองสุเอซ ทำให้เรือสินค้าสามารถแล่นติดต่อระหว่างยุโรปกับเอเชียได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องแล่นเรืออ้อมแหลมแอฟริกาเหมือนแต่ก่อน ทำให้สินค้าราคาถูก เศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมส่งผลให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมตามมา
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24-25 มหาอำนาจตะวันตกได้เข้ามายึดครองหรือคุกคามดินแดนต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้
อังกฤษ
พม่า ใน พ.ศ. 2367 อินเดียซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลอังกฤษเกิดวิวาทกับพม่าเกี่ยวกับปัญหาชายแดน จนนำไปสู่การทำสงครามระหว่างพม่ากับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ อังกฤษเป็นฝ่ายชนะและได้ยึดครองดินแดนพม่าตอนล่างในระหว่าง พ.ศ. 2393-2396 พม่าเกิดเหตุวิวาทกับอังกฤษอีก มีผลทำให้อังกฤษยึดครองตอนกลางของพม่าได้ใน พ.ศ. 2405 อังกฤษรวมดินแดนของพม่าที่ยึดได้เป็นมณฑล พม่าอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษโดยใช้กรุงย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงใน พ.ศ. 2417 อังกฤษได้ผนวกดินแดนพม่าที่ยังเหลือ และปกครองพม่าในฐานะเป็นมณฑลหนึ่งของอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษ
- คาบสมุทรมลายู รัฐต่างๆ ของมลายูมักทะเลาะวิวาทและสู้รบกันเองอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้อังกฤษเข้าแทรกแซงทางการเมือง บางรัฐขอให้อังกฤษเข้ามาอารักขา อังกฤษได้ขอเช่าเกาะปีนังจากสุลต่านรัฐไทรบุรีหรือเกดะห์เป็นศูนย์กลางการค้า และให้ความคุ้มครองแก่สุลต่านผู้ปกครองรัฐมลายู จึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของอังกฤษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใน พ.ศ. 2439 อังกฤษได้รวมเประ สลังงอร์ ปะหัง และเนกรีเซมบีลัน เป็นสหพันธรัฐมลายูภายใต้การปกครองของอังกฤษ
นอกจากนี้อังกฤษยังได้ครอบครองเกาะสิงคโปร์ และสร้างสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าและฐานทัพสำคัญของอังกฤษเพื่อควบคุมผลประโยชน์ในเอเชียตะวันออก - ไทย ในช่วงเวลาเดียวกันอังกฤษได้เริ่มคุกคามไทยด้วยการส่ง เฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) เป็นทูตมาเจรจาเกี่ยวกับรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรมลายู ชัยชนะที่อังกฤษมีต่อพม่า ทำให้ไทยตระหนักว่าอังกฤษมีอำนาจทางทหารเหนือกว่า ไทยจึงยอมรับข้อเสนอของอังกฤษใน พ.ศ. 2398 อังกฤษได้ทำสัญญาการค้าที่เรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง เป็นผลให้ไทยต้องเสียผลประโยชน์ทางการค้าและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่อังกฤษ ต่อมาประเทศตะวันตกอื่นๆ ก็ได้ขอสิทธิเช่นเดียวกับอังกฤษจากไทยใน พ.ศ. 2451 ไทยต้องยอมมอบสิทธิที่มีเหนือไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตรังกานู ให้แก่อังกฤษแลกกับอำนาจทางการศาล เพื่อให้ไทยสามารถพิจารณาตัดสินคดีความที่คนในบังคับอังกฤษทำผิดในประเทศไทยได้
ฝรั่งเศส
- เวียดนาม เขมร และลาว ในช่วงทศวรรษ 2360 ฝรั่งเศสพยายามติดต่อค้าขายและขอเผยแผ่คริสต์ศาสนาในเวียดนาม และได้โอกาสเพราะสนับสนุนพระเจ้ายาลอง (Gia Long) ขึ้นครองอำนาจ และรวมประเทศเวียดนามเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ทำให้ฝรั่งเศสได้รับสิทธิพิเศษในการเผยแผ่คริสต์ศาสนาและค้าขายในเวียดนาม แต่ต่อมากษัตริย์เวียดนามไม่โปรดปรานฝรั่งเศส และต่อต้านศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง จึงเกิดการกระทบกระทั่งกลายเป็นสงครามซึ่งเริ่มเมื่อ พ.ศ. 2399 สงครามระหว่างสองฝ่ายดำเนินไปหลายปี จนกระทั่งฝรั่งเศสสามารถยึดเวียดนามได้ทั้งประเทศ
สำหรับเขมร ใน พ.ศ. 2406 ฝรั่งเศสบีบบังคับให้เขมรเป็นรัฐอยู่ใต้อารักขาของฝรั่งเศส และต่อมาขอให้ไทยยุติการอ้างสิทธิเหนือเขมร หลังจากนั้นได้ใช้วิธีรุนแรงขยายอำนาจเข้าไปในดินแดนลาว ซึ่งนำไปสู่การกระทบกระทั่งกับไทยที่ปกครองลาวในฐานะประเทศราชจนเกิดวิกฤตการณ์ รศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นผลให้ไทยต้องเสียดินแดนลาวให้กับฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสได้เวียดนาม เขมร และลาวไว้อำนาจแล้ว ฝรั่งเศสได้รวมดินแดนทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันเรียกว่า อินโดจีนฝรั่งเศส โดยตั้งข้าหลวงใหญ่ทำหน้าที่ปกครองขึ้นตรงต่อรัฐบาลฝรั่งเศสที่กรุงปารีส - ไทย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสเริ่มแผ่อิทธิพลเข้าไปในดินแดนประเทศราชของไทย โดยขอเข้าไปอารักขาเขมร ทางฝ่ายไทยต้องยินยอมแต่โดยดีเพราะไม่อาจต้านทานอำนาจของฝรั่งเศสได้ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจเข้าไปในดินแดนลาว ฝรั่งเศสใช้วิธีทุกอย่างทั้งวิธีการเจรจาและใช้เรือรบมาปิดปากน้ำเจ้าพระยาและคุกคามอธิปไตยของไทยใน พ.ศ. 2436 ไทยพยายามต่อต้านด้วยการใช้กำลังทหาร แต่ไม่อาจต่อต้านได้ ทำให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องยกดินแดนลาวทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
ฮอลันดา
หมู่เกาะอินโดนีเซียใน พ.ศ. 2367 อังกฤษกับฮอลันดาได้ตกลงแบ่งเขตอำนาจในน่านน้ำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยฮอลันดายอมยกมะละกาให้อังกฤษเพื่อแลกกับเมืองท่าที่อังกฤษมีในสุมาตรา และตกลงกันว่าอังกฤษจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับหมู่เกาะอินโดนีเซีย ส่วนฮอลันดาก็ตกลงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคาบสมุทรมลายู นับเป็นการแบ่งเขตอาณานิคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสองประเทศ เป็นผลให้ฮอลันดาขยายอิทธิพลในบริเวณหมู่เกาะอินโดนีเซียได้สะดวก โดยปราศจากการแข่งขันจากชาติอื่น ใน พ.ศ. 2372 ฮอลันดาพยายามครอบครองเกาะชวาทั้งหมด หลังจากนั้นก็เริ่มใช้ “ระบบเพาะปลูก” บนเกาะชวาด้วยการบังคับให้ชาวชวาปลูกพืชผลที่ตนต้องการ โดยเฉพาะกาแฟซึ่งเป็นพืชที่ตลาดโลกต้องการ
สเปน
หมู่เกาะฟิลิปปินส์ สเปนยังคงเป็นผู้ปกครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์แต่ผู้เดียวอยู่เช่นเดิมโดยไม่มีมหาอำนาจอาณานิคมอื่นเข้าไปแก่งแย่ง จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2441 เกิดสงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา สเปนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต้องทำสัญญายกฟิลิปปินส์ให้แก่สหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าปกครองฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกาได้ใช้รูปแบบการปกครอง กฎหมาย เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ตามแบบอย่างที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้กำหนด
ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในดินแดนอาณานิคม
การที่ชาวตะวันตกสร้างลัทธิจักรวรรดินิยมโดยเข้าไปปกครองดินแดนอาณานิคม ก่อให้เกิดผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในดินแดนอาณานิคม ดังนี้
1.ชาวตะวันตกประกาศใช้กฎหมายเพื่อเก็บภาษีประชาชนอย่างรุนแรง ยิ่งกว่าช่วงระยะที่ชาวพื้นเมืองปกครองกันเอง รายได้จากการเก็บภาษีส่วนใหญ่ผู้ปกครองอาณานิคมส่งไปบำรุงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองแม่
2.กลุ่มนายทุนชาวตะวันตกเข้ายึดครองพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ และกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติจากดินแดนอาณานิคม แล้วนำไปแปรรูปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมส่งไปขายทั่วโลกสร้างความร่ำรวยแก่กลุ่มนายทุนตะวันตก
3.ชาวตะวันตกบังคับและเกณฑ์แรงงานพื้นเมืองไปทำงานหนัก บังคับให้ชาวพื้นเมืองปลูกพืชตามที่ต้องการ และบังคับให้ชาวพื้นเมืองขายผลิตผลแก่พ่อค้าชาติตะวันตกในราคาถูกๆ เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครองและผลประโยชน์ของบริษัทตะวันตก
4.ชาวตะวันตกได้อพยพชาวจีนจากประเทศจีนเป็นจำนวนมาก มาทำงานเป็นลูกจ้างในสวนยางพาราและโรงงานอุตสาหกรรมของชาติตะวันตก ชาวจีนสร้างปัญหาพิพาทกับชาวพื้นเมืองในเวลาต่อมา
5.ชาวตะวันตกได้เปลี่ยนสภาพเศรษฐกิจของชาวพื้นเมืองจากรูปแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบทุนนิยม ทำให้เกิดกิจการอุตสาหกรรมใหม่ๆ ธนาคารและระบบการกู้ยืม ทำให้ชาวพื้นเมืองมีหนี้สินและยากจนลงกว่าเดิม
6.การปกครองของชาวตะวันตกได้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวพื้นเมือง ทำให้ชาวพื้นเมืองหันมารับวัฒนธรรมตะวันตกและดำเนินชีวิตแบบฟุ่มเฟือยตามแบบตะวันตก
7.ชาวตะวันตกนำรูปแบบการศึกษาและเผยแพร่ความคิดแบบสมัยใหม่ คือ ความคิดในระบบเสรีนิยมและประชาธิปไตยเป็นการกระตุ้นให้ชาวพื้นเมืองเกิดความคิด “ชาตินิยม” ขึ้น
ลัทธิชาตินิยมในสหรัฐอเมริกา
ลัทธิชาตินิยม หมายถึง ความคิดและการสร้างรูปแบบเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ความมีอิสระและเสรีภาพแก่ประชาชน รวมไปถึงการสร้างความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน ทำให้เกิดการรวมกลุ่มมีความคิดในการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและของชาติ การชื่นชมในวัฒนธรรมของชาติ และท้ายที่สุด คือความต้องการสร้างเอกราชและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ
ความคิดชาตินิยมได้เริ่มขึ้นในหมู่ประชาชนฟิลิปปินส์ก่อนประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใน พ.ศ. 2439 สเปนลงมือปราบปรามพวกชาตินิยมฟิลิปปินส์ซึ่งเรียกร้องเอกราชจากสเปน ในระยะต่อมาความคิดชาตินิยมได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนในดินแดนอาณานิคมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สาเหตุที่ก่อให้เกิดความคิดชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สรุปได้ ดังนี้
1.ความรู้สึกไม่พอใจระบบการปกครองของประเทศตะวันตกในดินแดนอาณานิคม ซึ่งใช้กฎหมายบังคับชาวพื้นเมืองให้ปฏิบัติตาม โดยมีจุดมุ่งหมายให้เกิดความสงบและความมั่นคงในดินแดนอาณานิคม ซึ่งเป็นผลให้ชาติตะวันตกได้รับอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ต่างๆ เหนือกว่าชาวพื้นเมือง
2.ชาวพื้นเมืองรู้สึกหวงแหนทรัพยากรของชาติ ที่ถูกชาวตะวันตกกอบโกยไปสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเอง
3.ชาวพื้นเมืองรู้สึกโกรธเคืองเมื่อชาวตะวันตกใช้วิธีกดขี่ ข่มเหง ดูหมิ่น เหยียดหยาม และทำลายวัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง
4.การที่ชาวตะวันตกนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษาแบบสมัยใหม่มาเผยแพร่ในดินแดนอาณานิคม ทำให้ประชาชนเริ่มตื่นตัวในความคิดแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะความคิดในระบบเสรีนิยม
5.ในสมัยที่ชาวตะวันตกปกครองอาณานิคม บ้านเมืองเกิดความสงบมั่นคง ชาวพื้นเมืองมิได้รบพุ่งกันเองเหมือนแต่ก่อน ประกอบกับชาวตะวันตกนำรูปแบบการคมนาคมขนส่งสมัยใหม่ เช่น รถไฟ เรือกลไฟ โทรเลข โทรศัพท์ มาใช้ในอาณานิคม อีกทั้งชาวตะวันตกใช้ภาษาของตนในการปกครองอาณานิคม เช่น สหรัฐอเมริกาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการปกครองชาวฟิลิปปินส์ เป็นต้น ปัจจัยดังกล่าวทำให้ชาวพื้นเมืองสามารถติดต่อไปมาหาสู่ หรือสื่อสารได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
6.ชาวพื้นเมืองได้รับแนวความคิดและตัวอย่างการแสดงออกถึงความเป็นชาตินิยมจากประเทศที่อยู่นอกดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนรู้สึกชื่นชมและต้องการแสดงออกซึ่งความเป็นชาตินิยมด้วย ดังเช่น กรณีญี่ปุ่นซึ่งมีความคิดชาตินิยมอย่างแรงกล้า พัฒนาประเทศจนก้าวไปสู่ความทันสมัยและมีความเข้มแข็งทุกด้านสามารถทำสงครามชนะรัสเซียซึ่งเป็นมหาอำนาจได้
อีกกรณีหนึ่ง คือนักชาตินิยมจีนภายใต้การนำของ ดร. ซุน ยัตเซ็น สามารถก่อการปฏิวัติเมื่อ พ.ศ. 2454 เพื่อต่อต้านราชวงศ์แมนจู ซึ่งเป็นราชวงศ์ต่างชาติที่เข้ามาปกครองประเทศจีนในขณะนั้นได้สำเร็จ
อ้างอิงจาก