โคลัมบัส เดินเรือจากยุโรปไปทางทิศตะวันตกเพื่อหาเส้นทางเดินเรือใหม่ เขาไปเจอกับทวีปๆนึง เขาคิดว่าทวีปนั้นคืออินเดีย จนกระทั่งต่อมา ประเทศสเปนกับประเทศโปรตุเกสได้เดินทางลงใต้ ทำให้พบทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งพบทองคำเป็นจำนวนมาก ทำให้สหราชอาณาจักรและประเทศฝรั่งเศสซึ่งเดินทางไปที่หลัง จำใจต้องขึ้นไปทางทิศเหนือ อังกฤษได้ขึ้นฝั่งที่บริเวณตะวันออก แถบนิวอิงแลนด์ นิวยอร์ก ฝรั่งเศสขึ้นฝั่งที่ตอนกลาง บริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทั้งสองได้ต่างกันขยายอาณานิคม ทำให้ทั้งสองได้มาปะทะกันในที่สุด ทำให้เกิด สงคราม 7 ปี ในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้ายึดดินแดนเดิมของฝรั่งเศส
สหรัฐอเมริกาช่วงแรก (ค.ศ. 1789 ถึง ค.ศ. 1824)
สมัยของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน (ค.ศ. 1789 - 1797)
จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาเมื่อค.ศ. 1789 ผลงานชิ้นแรกของวอชิงตันคือการยกคำประกาศสิทธิหรือรัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) ขึ้นเป็นมาตราในรัฐธรรมนูญ (Amendments) สิบมาตราแรกเมื่อค.ศ. 1791 อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Secretary of Treasury) เป็นผู้วางรากฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในช่วงแรก โดยการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติสหรัฐอเมริกา การกำหนดภาษีเงินได้และภาษีศุลกากร และการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นการค้าขายกับสหราชอาณาจักรหรือบริเทนอดีตเจ้าอาณานิคมเป็นหลัก โดยการทำสนธิสัญญาสงบศึกและสนธิสัญญาการค้ากับบริเทน คือ สนธิสัญญาเจย์ (Jay Treaty) ในปีค.ศ. 1794 นอกจากนี้วอชิงตันยังวางระบบตุลาการของประเทศผ่านทางกฎหมายตุลาการ (Judiciary Act) ค.ศ. 1789 ให้ศาลฎีกาสูงสุดเป็นศาลสูงสุดของประเทศเหนือศาลของแต่ละรัฐ ประชาชนในรัฐเพนซิลวาเนียผู้ไม่พอใจการเก็บภาษีวิสกี้ของรัฐบาลกลางก่อการกบฏวิสกี้ (Whiskey Rebellion) ในค.ศ. 1794 ประธานาธิบดีวอชิงตันจึงเกณฑ์ไพร่พลจากรัฐต่างๆมาทำการปราบกบฏ นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางใช้อำนาจทางทหารโดยใช้กำลังรวมจากหลายรัฐ และเป็นครั้งเดียวที่ประธานาธิบดีเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง
ในสมัยนี้เองที่เกิดความแตกแยกทางการเมืองขึ้นในหมู่ผู้นำของสหรัฐอเมริกา ฝ่ายเฟเดอรัลลิสต์ (Federalist) หรือฝ่ายสมาพันธรัฐนิยม นำโดยรัฐมนตรีการคลังอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน มีนโยบายรวมอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจเข้าสู่รัฐบาลกลาง ส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกา โดยมีบริเทนเป็นแบบอย่างในทางเศรษฐกิจและการเมือง และฝ่ายรีพับบลีกัน (Republican) มีแนวคิดสาธารณรัฐนิยม (Republicanism) แบบสุดโต่ง นำโดยโธมัส เจฟเฟอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ (Secretary of State) และเจมส์ แมดิสัน (James Madison) ซึ่งมีความเห็นว่าการรวมอำนาจเข้าศูนย์กลางเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนและแต่ละรัฐ การส่งเสริมอุตสาหกรรมจะเป็นการทำลายชีวิตเกษตรกรรมของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในขณะนั้น และให้การสนับสนุนการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งการแตกแยกทางการเมืองออกเป็นสองฝ่ายนำไปสู่การจัดตั้งพรรคการเมืองสองพรรคแรกของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ พรรคเฟเดอรัลลิสต์ (Federalist Party) และพรรครีพับบลีกัน (Republican Party) เกิดเป็นระบบพรรคการเมืองครั้งที่หนึ่ง (First Party System) ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ฝ่ายประธานาธิบดีวอชิงตันแม้ว่าจะสนับสนุนนโยบายของพรรคเฟเดอรัลลิสต์ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งพรรคการเมืองเพราะเป็นการสร้างความแตกแยกภายในรัฐบาล
ประธานาธิบดีวอชิงตันดำรงตำแหน่งอยู่เป็นเวลาสองสมัย และปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สาม จนเกิดเป็นธรรมเนียมว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินสองสมัย
สมัยของประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ (ค.ศ. 1797 - 1801)
รองประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ (John Adams) จากพรรคเฟเดอรัลลิสต์ สามารถเอาชนะโธมัส เจฟเฟอร์สันได้ในการเลือกตั้งเมื่อค.ศ. 1797 ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่สอง ในขณะเดียวกันนั้นเองรัฐบาลสาธารณรัฐที่หนึ่งของฝรั่งเศสหลังจากที่ทราบว่าสหรัฐอเมริกาได้มีสัมพันธ์ทางการค้ากับบริเทน ซึ่งในขณะนั้นบริเทนและฝรั่งเศสกำลังทำสงครามขับเคี่ยวกันอยู่ จึงส่งทูตชื่อว่า เอมองต์-ชาร์ลส์ เยเนต์ (Edmond-Charles Genêt) มาเพื่อทวงสัญญาพันธมิตรตั้งแต่ครั้งสงครามปฏิวัติอเมริกาและเรียกร้องให้รัฐบาลยุติความสัมพันธ์กับบริเทน แม้ว่าทูตฝรั่งเศสจะได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองและประชาชนฝ่ายรีพับบลีกันเป็นอย่างมาก แต่ประธานาธิบดีแอดัมส์และฝ่ายเฟเดอรัลลิสต์ได้ใช้การกระทำนี้ เรียกว่า เหตุการณ์เอ็กซ์วายซี (XYZ Affair) ในการตีความว่าฝรั่งเศสคุกคามอธิปไตยของสหรัฐอเมริกา เมื่อเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ ฝรั่งเศสจึงใช้นโยบายเข้าปล้นเรือสินค้าของสหรัฐอเมริก ทำให้สถานะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสอยู่ในฐานะกึ่งสงคราม (Quasi-War)
รัฐบาลเฟเดอรัลลิสต์ของนายแอดัมส์เห็นว่าการที่ฝ่ายรีพับบลีกันให้การสนับสนุนฝรั่งเศสนั้นเป็นภัยต่อประเทศชาติ จึงออกกฎหมายต่างด้าวและการจลาจล (Alien and Sedition Act) ในค.ศ. 1798 ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ในค.ศ. 1800 ประธานาธิบดีแอดัมส์ส่งตัวแทนไปยังฝรั่งเศสเพื่อเจรจาขอสงบศึกได้เป็นผลสำเร็จ
ศควรรษที่ 19
สมัยของประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน (ค.ศ. 1801 - 1809)
การปกครองของรัฐบาลเฟเดอรัลลิสต์ที่กดขี่ทำให้พรรคเฟเดอรัลลิสต์มีความนิยมที่เสื่อมลง โธมัส เจฟเฟอร์สัน จากพรรครีพับบลีกัน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่สามและสาบานตนเข้าดำรงตำแหน่งในค.ศ. 1801 ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพอย่างมาก ตามหลักประชาธิปไตยแบบเจฟเฟอร์สัน (Jeffersonian Democracy) มีแนวความคิดในการตีความรัฐธรรมนูญแบบเคร่งครัดตามตัวอักษร มีนโยบายกระจายอำนาจสู่รัฐบาลของแต่ละรัฐ และส่งเสริมการเกษตรหลีกเลี่ยงลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantilism) และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ในปีเดียวกันประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันส่งนักการทูตเจมส์ มอนโร (James Monroe) ไปยังกรุงปารีสเพื่อเจรจาของซื้อนครนิวออร์ลีนส์จากฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับสมัยของพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จักรพรรดินโปเลียนได้เสนอที่จะขายอาณานิคมลุยเซียนา (Louisiana) ทั้งหมด อันเป็นผืนแผ่นดินรกร้างกว้างใหญ่ประกอบด้วยชาวฝรั่งเศส ชาวสเปน และชาวอเมริกันพื้นเมือง เจฟเฟอร์สันเห็นว่าชาวอเมริกันควรจะมีที่ดินอย่างเพียงพอในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงตัดสินใจที่จะซื้ออาณานิคมลุยเซียนาจากฝรั่งเศสในค.ศ. 1803 ราคาสิบห้าล้านดอลลาร์ (เทียบเท่าจำนวนเงิน 230 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) เรียกว่า การซื้อลุยเซียนา (Louisiana Purchase) ทำให้อาณาเขตของประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายเฟอเดอรัลลิสต์อย่างมาก ว่าเป็นการผลาญเงินโดยไม่จำเป็น เจฟเฟอร์สันส่งนายเมอรีเวเทอร์ ลูอิส (Meriwether Lewis) และวิลเลียม คลาร์ก (William Clark) ไปทำการสำรวจดินแดนลุยเซียนาอันกว้างใหญ่ไพศาล ในการสำรวจของลูอิสและคลาร์ก (Lewis and Clark Expedition)
แต่เกษตรกรรมในความหมายนี้ คนผิวขาวมิได้ลงแรงในการประกอบเกษตรกรรมเองแต่อย่างใด แต่ใช้ทาสชาวแอฟริกันให้เป็นผู้ำทำการเพาะปลูก ภายใต้การกำกับของชาวอเมริกันผิวขาวในฐานะเจ้าของที่ดิน รัฐบาลสมัยประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันแม้จะให้ความสำคัญแก่สิทธิเสรีภาพ แต่ก็จำต้องปล่อยให้ระบอบทาสคงอยู่เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมสามารถดำรงอยู่ได้
ในยุโรปกำลังเกิดสงครามนโปเลียน ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันพยายามที่จะธำรงความเป็นกลางของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ แม้กระนั้นเรือสินค้าของสหรัฐอเมริกาก็ยังคงถูกตรวจค้นและปล้มสะดมโดยทางการบริเทน และกองทัพเรือบริเทนยังลักพาตัวชายชาวอเมริกาจำนวนมากเพื่อนำไปเข้าร่วมกองทัพเรือในการสู้รบกับฝรั่งเศส เรียกว่า Impressment ในปีค.ศ. 1807สภาองคมนตรีของบริเทนออกคำสั่งให้ทัพเรือบริเทนนำกำลังเข้าปิดล้อมมิให้สหรัฐอเมริกาสามารถทำการค้าขายกับฝรั่งเศสได้ เจฟเฟอร์สันจึงตอบโต้ออกกฎหมายคว่ำบาตรทางการค้า (Embargo Act) ในปีเดียวกัน ห้ามมิให้ชาวอเมริกาทำการค้าขายกับประเทศใดๆในยุโรปและอาณานิคมของประเทศเหล่านั้น นโยบายนี้ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตกต่ำลงในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสไม่ได้รับผลเสียใดๆจากนโยบายนี้ และกฎหมายคว่ำบาตรยังทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยมในตัวประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันและพรรครีพับบลีกันอีกด้วย จนกระทั่งกฎหมายนี้ถูกยกเลิกไปในค.ศ. 1810
ในค.ศ. 1803 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ผนวกเอาดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwest Territory) บริเวณลุ่มแม่น้ำโอไฮโอ (Ohio River) อันเป็นดินแดนอิสระของชาวอเมริกันพื้นเมือง เข้ามาเป็นดินแดนอินเดียนา (Indiana Territory) และรัฐโอไฮโอ (Ohio) ปกครองโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้นำเผ่าอเมริกันพื้นเมืองชื่อว่า เทคัมเซ (Tecumseh) และ เทนสกวาตาวา (Tenskwatawa) นำกำลังเข้าโจมตีเมืองของสหรัฐอเมริกาต่างๆในบริเวณตะวันตกเฉียงเหนืออย่างหนักหน่วง เพื่อต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของคนผิวขาว โดยที่การกบฏของชาวพื้นเมืองในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริเทน
สงครามปีค.ศ. 1812
รัฐมนตรีต่างประเทศเจมส์ แมดิสัน แห่งพรรครีพับบลีกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีต่อจากเจฟเฟอร์สันในค.ศ. 1810 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเริ่มที่จะทนไม่ได้กับการกระทำของกองทัพเรืองบริเทนต่อเรือของสหรัฐฯ การขัดขวางการค้าของสหรัฐฯ และการที่บริเทนให้การสนับสนุนกบฏของอเมริกันพื้นเมือง นักการเมืองฝ่ายรีพับบลีกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้แทนจากรัฐทางตอนใต้และจากลุยเซียนา สนับสนุนให้ประกาศสงครามกับบริเทน ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายเฟเดอรัลลิสต์จากเขตนิวอิงแลนด์ทางเหนือ ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการค้ากับยุโรปเป็นสำคัญ คัดค้านการทำสงคราม ในที่สุดสภาคองเกรสก็ได้ประกาศสงครามกับบริเทนด้วยเสียงข้างมากในค.ศ 1812 ฝ่ายบริเทนในขณะนั้นมีทัพเรือที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกจากการเอาชนะทัพเรือของนโปเลียนในยุทธการทราฟัลการ์ ฝ่ายอเมริกาและบริเทนปะทะกันในสองช่องทางได้แก่ ทางทะเลโดยที่ทัพเรือบริเทนเข้าโจมตีเมื่องชายฝั่งทะเลต่างๆของอเมริกา และทางบกทัพอเมริกายกเข้าบุกแคนาดาซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของบริเทน
ในค.ศ. 1811 นายพลวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน (William Henry Harrison) บุกเข้าทำลายฐานที่มั่นของอินเดียนแดงได้ในยุทธการทิปเปอแคนู (Battle of Tippecanoe) ทัพอเมริกามีความพยายามในการรุกรานแคนาดาแต่ถูกขัดขวางจากการที่มลรัฐทางตอนเหนือไม่ให้ความร่วมมือ และในปีค.ศ. 1812 เสียเมืองดีทรอยต์ให้แก่บริเทน และทัพอเมริกาพ่ายแพ้แก่ทัพบริเทนในยุทธการควีนสตันไฮทส์ (Battle of Queenston Heights) ในปีเดียวกัน ทางทะเลบริเทนนำทัพเข้ามาปิดล้อมชายฝั่งทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ทั้งทางฝั่งมหาสุทรแอตแลนติกและฝั่งอ่าวเม็กซิโก ปีต่อมาค.ศ. 1813 ทัพอเมริกาสามารถบุกเข้ายึดและเผาเมืองโตรอนโตของแคนาดาได้ และพลจัตวาโอลิเวอร์ ฮาซาร์ด เพอร์รี่ (Oliver Hazard Perry) นำทัพเรือเมริกาเอาชนะทัพเรือบริเทนในยุทธการทะเลสาบอีรี (Battle of Lake Erie) สามารถขับบริเทนออกจากบริเวณดีทรอยต์ได้ นายพลแฮร์ริสันนำทัพเข้าปราบชาวอินเดียนแดงในยุทธการเธมส์ (Battle of the Thames) สังหารเทคัมเซผู้นำอินเดียนแดงเสียชีวิตในสนามรบ
ในปี 1814 บริเทนสามารถโค่นอำนาจของนโปเลียนได้ในยุโรป จึงหันความสนใจมายังสหรัฐอเมริกา ทัพเรือบริเทนเข้ายึดเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. และเผาทำลายทำเนียบขาว ทางตอนเหนือทัพเรืออเมริกาต้านทานการรุกรานของทัพบริเทนจากมอนทรีออลได้ในยุทธการทะเลสาบชองแปลง (Battle of Lake Champlain) ทั้งฝ่ายเริ่มการเจรจายุติสงครามที่เมืองเกนต์ ประเทศเบลเยี่ยม นำไปสู่สนธิสัญญาเกนต์ (Treaty of Ghent) ในค.ศ. 1814 สิ้นสุดสงครามโดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงของดินแดนในครอบครองทั้งสองฝ่าย กลับไปสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดสงคราม
แม้ว่าจะเจรจายุติสงครามแล้ว แต่ข่าวการยุติสงครามยังมาไม่ถึงยังสหรัฐอเมริกา ในค.ศ. 1815 ทัพเรือบริเทนเข้าโจมตีเมืองท่านิวออร์ลีนส์ ทัพอเมริกานำโดยแอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) สามารถต้านทานการรุกรานของบริเทนได้ ในยุทธการนิวออร์ลีนส์ (Battle of New Orleans)
วาทะมอนโรและสมัยแห่งความรู้สึกดี
ค.ศ. 1819 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและราชอาณาจักรสเปนทำสนธิสัญญาแอดัมส์-โอนิส (Adams-Onis Treaty) โดยสหรัฐทำการซื้อฟลอริดามาจากสเปน และกำหนดเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างสองประเทศทางตะวันตก โดยสเปนถือครองดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
การที่สหรัฐอเมริกาสามารถรับมือกับการรุกรานของมหาอำนาจอย่างเช่นสหราชอาณาจักรได้ ทำให้ชาวอเมริกันเกิดความภาคภูมิใจและเกิดเป็นกระแสชาตินิยมขึ้นในที่สุด ผลทางการเมืองของสงครามปีค.ศ. 1812 คือทำให้อำนาจและความนิยมของพรรคเฟเดอรัลลิสต์ อันมีฐานอำนาจอยู่ในเขตนิวอิงแลนด์ทางเหนือนั้น ล่มสลายไปในที่สุดในฐานะเป็นฝ่ายที่คัดค้านสงคราม ทำให้พรรครีพับบลีกันซึ่งมีฐานเสียงอยู่มลรัฐทางใต้เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่คงอำนาจ ความภาคภูมิใจในชาติ และเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้เกิดสมัยแห่งความรู้สึกดี (Era of Good Feelings)
ในขณะเดียวกันนั้นอาณานิคมต่างๆของยุโรปในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในอเมริกาใต้กำลังทำสงครามเรียกร้องเอกราชจากประเทศแม่ในยุโรป ปีค.ศ. 1823 ประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร และรัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น ควินซี แอดัมส์ (John Quincy Adams) ประกาศวาทะมอนโร (Monroe Doctrine) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่ข้องแวะกับกิจการใดๆของชาติยุโรป และชาติต่างๆในยุโรปจะต้องไม่แทรกแซงกิจการใดๆของรัฐเอกราชในทวีปอเมริกา
ระบบทาส
ความขัดแย้งในเรื่องระบอบทาส เกิดขึ้นครั้งแรกในค.ศ. 1819 เมื่อมีการก่อตั้งมลรัฐมิสซูรี (Missouri) ขึ้นมาเป็นมลรัฐใหม่ โดยที่พลเมืองคนขาวในรัฐมิสซูรีส่วนใหญ่มีทาสชาวแอฟริกันไว้ในครอบครอง และประชาชนได้ร่างกฎหมายประจำมลรัฐและยื่นเรื่องขออนุมัติจัดตั้งรัฐใหม่ไปยังสภาคองเกรส แต่ทว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งชื่อว่า จอห์น ทัลมาดจ์ (John Tallmadge) จากมลรัฐนิวยอร์ก เสนอให้มีการแก้กฎหมายให้มลรัฐมิสซูรีห้ามการนำทาสเข้ามาในมลรัฐเพิ่มเติม ซึ่งวุฒิสภาสหรัฐฯคัดค้านการแก้ไขนี้ จนในที่สุดรัฐบาลกลางก็อนุญาตให้รัฐมิสซูรีมีทาสได้ในปีค.ศ. 1820 และในปีเดียวกันมีการจัดตั้งมลรัฐแอละแบมาเป็นรัฐมีทาส ทำให้จำนวนรัฐมีทาสและรัฐปลอดทาสเท่ากัน จึงมีการจัดตั้งรัฐเมนขึ้นเป็นรัฐปลอดทาส เพื่อถ่วงเสียงกับฝ่ายรัฐมีทาส และกำหนดว่าห้ามมีระบอบทาสเหนือเส้นขนานที่ 36 องศา 30 ลิปดาเหนือ เรียกว่า เส้นขนานข้อตกลง (Compromise Line) ยกเว้นมลรัฐมิสซูรีซึ่งอยู่เหนือต่อเส้นข้อตกลง เรียกว่า ข้อตกลงมิสซูรี (Missouri Compromise) ปีค.ศ. 1820 ซึ่งเป็นบรรทัดฐานในการจัดตั้งระบอบทาสและเขตปลอดทาสในสหรัฐอเมริกาต่อมาเป็นเวลาสามสิบปี
การเคลื่อนย้ายชาวอเมริกันอินเดียน
ในปี 1830 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายการเคลื่อนย้ายชาวอินเดียน (อังกฤษ: Indian Removal Act) ซึ่งให้มีอำนาจประธานาธิบดีในการเจรจาสนธิสัญญาที่จะแลกเปลี่ยนดินแดนของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันในรัฐทางตะวันออกกับดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้.[3] เป้าหมายหลักคือเพื่อเคลื่อนย้ายชนพื้นเมืองอเมริกัน, รวมทั้ง ห้าอารยะชนเผ่า, จากตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาซึ่งพวกเขาครอบครองที่ดินที่ผู้ตั้งถิ่นฐานต้องการ. ประธานาธิบดีแจ็คสันแห่งพรรคเดโมแครต (อังกฤษ: Jacksonian Democrats) เรียกร้องให้ใช้กำลังในการเคลื่อนย้ายประชากรพื้นเมืองที่ปฏิเสธที่จะยอมรับ กฎหมายของรัฐไปยังเขตสงวนทางตะวันตก; สมาชิกพรรคการเมือง (อังกฤษ: Whigs) และผู้นำศาสนาต่อต้านการย้ายที่ไร้มนุษยธรรม. มีการเสียชีวิตหลายพันคนที่มีผลมาจากการโยกย้าย, เท่าที่เห็นใน รอยน้ำตาของเชอโรกี (อังกฤษ: Cherokee Trail of Tears)[4] อินเดียนแดงเผ่า Seminole หลายคนในฟลอริดาปฏิเสธที่จะย้ายไปทิศตะวันตก; พวกเขาต่อสู้กับกองทัพมานานหลายปีในสงคราม Seminole
การฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ๋ครั้งที่สอง
บทความหลัก : Second Great Awakening การฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ๋ครั้งที่สองเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูนิกายโปรเตสแตนต์ที่สร้างผลกระทบทั้งประเทศในช่วงศตวรรษที่ 19 และนำไปสู่การเจริญเติบโตของคริสตจักรอย่างรวดเร็ว. การเคลื่อนไหวเริ่มราวปี ค.ศ. 1790, ได้รับแรงโมเมนตั้มในปี 1800, และ, หลังปี 1820 สมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่การชุมนุมของกลุ่มแบบติสท์และเมทอดิสท์, ซึ่งนักเทศน์ของพวกเขาได้นำการเคลื่อนไหว. มันผ่านจุดสูงสุดในยุค 1840s.[5]
มีคนลงทะเบียนเป็นสมาชิกใหม่นับล้านคนในนิกาย evangelic ที่มีอยู่เดิมและนำไปสู่การก่อตัวของนิกายใหม่ ผู้นับถือหลายคนเชื่อว่าการฟื้นคืนชีพจะเป็นการป่าวประกาศถึงยุคพันปีใหม่. การฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ๋ครั้งที่สองได้กระตุ้นการเคลื่อนไหวเพือการการปฏิรูปหลายอย่าง-รวมทั้งการเลิกทาสและยับยั้งชั่งใจที่ออกแบบมาเพื่อลบความชั่วร้ายของสังคมก่อนการคาดว่าจะเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์.[6]
การเลิกทาส
หลังปี 1840 การเจริญเติบโตของการเคลื่อนไหวเพื่อเลิกทาสให้นิยามใหม่ของตัวมันเองว่าเป็น สงครามต่อสู้กับความบาปของเจ้าของทาส. มันทำการรวบรวมฝ่ายสนับสนุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่ผู้หญิงเคร่งศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับผลกระทบจากการการฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ๋ครั้งที่สอง) วิลเลียม ลอยด์ แกร์ริสัน ได้เผยแพร่หนังสือพิมพ์ต่อต้านทาสหลายเล่มที่มีอิทธิพลมากที่สุด, The Liberator, ในขณะที่ เฟรเดอริค ดักลาส, อดีตทาส, เริ่มเขียนให้กับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นในราวปี 1840 และเริ่มหนังสือพิมพ์นักปลดปล่อยทาสของเขาเอง, North Star ในปี ค.ศ. 1847.[7] นักเคลื่อนไหวต่อต้านระบบทาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด, เช่น อับราฮัม ลิงคอล์น, ปฏิเสธศาสนศาสตร์ของแกร์ริสันและถือได้ว่า การเป็นทาสเป็นความชั่วร้ายทางสังคม, ไม่ใช่บาป.[8][9]
แผ่ขยายไปทางตะวันตก (ค.ศ. 1824 ถึง ค.ศ. 1861)
การเลือกตั้งทั่วไปในปีค.ศ. 1824 เสียงของประชาชนชาวอเมริกันแตกออกระหว่างผู้สมัครจากพรรครีพับบลีกันสี่คน ได้แก่ โฆษกรัฐบาลนายเฮนรี เคลย์ (Henry Clay) จากมลรัฐเคนตักกี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น ควินซี แอดัมส์ จากมลรัฐแมสซาชูเซตต์ รัฐมนตรีการคลัง วิลเลียม ครอว์เฟิร์ด (William Crawfurd) และแอนดรูว์ แจ็กสัน นายพลผู้โด่งดังจากการนำทัพเรือสหรัฐฯเอาชนะทัพเรือบริเทนในยุทธการนิวออร์ลีนส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาวมลรัฐเทนเนสซีและเพนซิลวาเนีย ไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับเสียงข้างมากในคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ที่เพียงพอที่จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ จึงให้สภาผู้แทนราษฏรเป็นผู้ทำการเลือกประธานาธิบดีเป็นขั้นตอนถัดมา โฆษกรัฐบาลเฮนรี เคลย์ ได้ทำการล็อบบี้ให้ผู้สนับสนุนของตนในสภาผู้แทนราษฏรเลือกนายจอห์น ควินซี แอดัมส์ เป็นประธานาธิบดี โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือตัวนายเฮนรี เคลย์ จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศ เป็นผลให้นายจอห์น ควินซี แอดัมส์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ สร้างความไม่พอใจให้แก่นายแอนดรูว์ แจ็กสันเป็นอย่างมาก ผู้ซึ่งได้ประณามข้อตกลงทางการเมืองนี้ว่าเป็น "ข้อแลกเปลี่ยนอันฉ้อฉล" (The Corrupt Bargain)
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เกิดความแตกแยกในพรรครีพับบลีกัน คือนายแอนดรูว์ แจ็กสัน ร่วมกับนายมาร์ติน แวน บิวเรน (Martin van Buren) ได้นำผู้สนับสนุนของตนแยกตัวออกมาจากพรรครีพับบลีกันออกมาตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ คือ พรรคเดโมแครต (Democratic Party) ในขณะที่สมาชิกที่ยังคงอยู่ในพรรคเดิมนั้นเรียกว่า พรรครีพับบลีกัน (Republican Party) หรือต่อมาเรียกว่าพรรควิก (Whig Party) นำโดยเฮนรี เคลย์ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบพรรคการเมืองที่สอง (Second Party System) รัฐบาลของนายแอดัมส์บริหารงานไม่เป็นที่พึงพอใจของประชาชนมากนัก ส่งผลให้แอนดรูว์ แจ็กสัน สามารถชนะการเลือกตั้งในค.ศ. 1828 ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้ในที่สุด
อ้างอิงจาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น