จักรวรรดิโรมันแผ่ขยายอาณาเขตรอบทะเลเมดิเตอร์ราเนียนจนมีอาณาเขตสูงสุดในศตวรรษที่ 2 แต่อาณาจักรโรมันที่ใหญ่เกินไปทำให้ยากแก่การปกครอง ทำให้ต้องแบ่งจักรวรรดิออกเป็นตะวันออกและตะวันตก ในค.ศ. 330 จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชตั้งเมืองไบแซนติอุม (Byzantium) เป็นเมืองหลวงใหม่แทนที่โรม ตั้งชื่อใหม่เป็นโรมใหม่ (Nova Roma) แต่ผู้คนมักจะเรียกว่า เมืองของพระเจ้าคอนสแตนติน คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) สงครามกับชนเผ่าเยอรมัน ในยุโรปกลางและตะวันออกในปัจจุบัน ทำให้ชาวโรมันเหนื่อยล้า
ในศตวรรษที่ 4 พวกชนฮั่น (Huns) จากเอเชียบุกเข้ามาในยุโรปสังหารเผ่าเยอรมันอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เผ่าเยอรมันต่าง ๆ มาขออาศัยในจักรวรรดิ แลกเปลี่ยนกับการถูกเกณฑ์ไปรบ ใน ค.ศ. 378 ในการรบที่อเดรียโนเปิล (Adrianople) เผ่าวิสิโกธ เอาชนะทัพโรมันและยึดแคว้นดาเชีย (Dacia โรมาเนียในปัจจุบัน) เป็นที่มั่น
ในค.ศ. 391 จักรพรรดิธีโอโดซิอุสออกกฎหมายให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาเพียงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิโรมัน ความเชื่อตามหลักของคริสต์ศาสนานั้นบรรเทาความกระหายสงครามของชาวโรมันจนเกือบหมด ทำให้ต้องจ้างทหารเผ่าเยอรมันเพื่อให้สู้กับพวกเยอรมันเอง กองทัพโรมันจึงอ่อนแอลง
พระเจ้าธีโอโดซิอุสทรงแบ่งอาณาจักรโรมันออกเป็นตะวันออกและตะวันตก การแบ่งจักรวรรดิเป็นการตัดเนื้อร้ายของจักรวรรดิ คือ ฝั่งตะวันตกที่ย่อยยับด้วยการรุกรานของเผ่าอนารยชน ทำให้จักรวรรดิฝั่งตะวันออก ที่รุ่งเรืองด้วยการค้ากับเส้นทางสายไหม ยังคงอยู่รอดเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ไปอีกพันปี
ใน ค.ศ. 409 เผ่าแวนดัล (Vandals) ทนการโจมตีของพวกฮั่นไม่ไหว จึงข้ามแม่น้ำไรน์ที่เป็นน้ำแข็งมาในแคว้นโกล (Gaul) ปล้นสะดมไปตามทางและตั้งรกรากที่คาบสมุทรไอบีเรีย ในค.ศ. 410 พระเจ้าอลาริค (Alaric) แห่งพวกวิซิกอททำทัพบุกยึดกรุงโรม เผาทำลายเมืองจนพินาศ จนจักรพรรดิโฮโนริอุส แห่งจักรวรรดิตะวันตก ยกแคว้นอากีแตนในฝรั่งเศสปัจจุบันให้กับพวกวิซิกอท พวกวิซิกอทจากอากีแตนก็บุกไอบีเรียขับพวกแวนดัลไปแอฟริกาเหนือในค.ศ. 429 พวกแวนดัลจากแอฟริกายกทัพเรือกลับมาโจมตีทำลายกรุงโรมใน ค.ศ. 455
ใน ค.ศ. 409 เผ่าแวนดัล (Vandals) ทนการโจมตีของพวกฮั่นไม่ไหว จึงข้ามแม่น้ำไรน์ที่เป็นน้ำแข็งมาในแคว้นโกล (Gaul) ปล้นสะดมไปตามทางและตั้งรกรากที่คาบสมุทรไอบีเรีย ในค.ศ. 410 พระเจ้าอลาริค (Alaric) แห่งพวกวิซิกอททำทัพบุกยึดกรุงโรม เผาทำลายเมืองจนพินาศ จนจักรพรรดิโฮโนริอุส แห่งจักรวรรดิตะวันตก ยกแคว้นอากีแตนในฝรั่งเศสปัจจุบันให้กับพวกวิซิกอท พวกวิซิกอทจากอากีแตนก็บุกไอบีเรียขับพวกแวนดัลไปแอฟริกาเหนือในค.ศ. 429 พวกแวนดัลจากแอฟริกายกทัพเรือกลับมาโจมตีทำลายกรุงโรมใน ค.ศ. 455
ใน ค.ศ. 476 โอโดอาเซอร์ (Odoacer) จากเผ่าเยอรมันโจมตีกรุงโรม และปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งฝั่งตะวันตก คือ จักรพรรดิโรมุลุส ออกุสตุส (Romulus Augustus) ทำให้จักรพรรดิฝั่งตะวันออกส่งพระเจ้าธีโอโดริค (Theodoric) แห่งชาวออสโตรกอท (Ostrogoths) มายึดโรมคืน แต่ธีโอโดริคก็ตั้งอาณาจักรในอิตาลีเสียเอง
โยบายของกรุงโรมที่มีต่อศาสนาคริสต์
โดยทั่วไป โรมอดทนต่อการปฏิบัติกิจทางศาสนาของผู้คนจนได้รับชัยชนะ ยกตัวอย่างเช่น โรมไม่ต้องการให้ชาวยิวนมัสการพระเจ้าจักรพรรดิและเทพเจ้าโรมันอื่น ๆ อย่างไรก็ตามโรมจะไม่ปล่อยให้ศาสนาของราษฎรก่อการจลาจล สำหรับเหตุผลนั่น เมื่อการประท้วงของชาวยิวเริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม โรมันได้ทำลายวิหารของชาวยิวในคริสต์ศักราช 70
ภัยคุกคามของศาสนาคริสต์ การปฏิเสธที่จะบูชาเทพเจ้าโรมันของชาวคริสเตียนถูกมองว่าเป็นรูปแบบของการก่อจลาจล นอกจากนี้ การเรียกร้องของศาสนาคริสต์ที่มีต่อทาสและผู้หญิงก่อให้เกิดสัญญาณการเตือนภัย ในที่สุด การพูดคุยเกี่ยวกับผู้นำที่จะสร้างอาณาจักรใหม่ ดูเหมือนจะบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน ในขณะที่ผู้ที่ไม่ใช่ยิวหรือบุคคลที่ไม่ใช่ยิวจำนวนมากกว่า ได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางศาสนาคริสต์โดยการเปลี่ยนให้ไปนับถือศาสนาคริสต์ ชาวโรมันก็รู้สึกว่าถูกคุกคาม
![]() |
มหาวิหารนักบุญเปโดร (St. Peter's Basilica) เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์ |
การข่มเหงของชาวโรมัน ในไม่ช้า ความหวาดกลัวศาสนาคริสต์ของชาวโรมัน ได้นำไปสู่การเป็นศัตรูที่คุกรุ่น ผู้ปกครองโรมันบางคนกล่าวหาชาวคริสเตียนทางการเมืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร (หรือ นีโร – Nero) กล่าวหาว่าชาวคริสเตียนจุดไฟเผากรุงโรมจนราบเรียบเป็นส่วนมากในคริสต์ศักราช 64 ในช่วงศตวรรษที่สอง การประหัตประหารชาวคริสต์ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายคนถูกคุมขังหรือฆ่าเพราะศาสนาของพวกเขา กระนั้น คนเป็นจำนวนมาก ก็ยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์
ชาวคริสเตียนพวกอื่น ๆ และแม้ผู้ที่ไม่คริสเตียนบางพวก ได้ยกย่องให้ชาวคริสเตียนผู้ถูกข่มเหงว่าเป็นผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา Martyrs คือ บุคคลที่มีความยินดีที่จะเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อประโยชน์ของความเชื่อหรือความมุ่งหมาย ในระหว่างการข่มเหงของชาวโรมัน ผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนาชาวคริสเตียนมักจะถูกฝังในสุสานใต้ดิน ที่เรียกว่า catacombs (สุสาน) ชาวคริสเตียน ได้รวมตัวกันในสุสานเพื่อเฉลิมฉลองงานศพของผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา เช่นเดียวกับพิธีกรรมและพิธีอื่น ๆ
![]() |
สุสานใต้ดินในกรุงโรมมีซอกฝังศพติดกำแพงและภาพวาดพระเยซู |
ศาสนาของโลก แม้จะมีการประหัตประหารเหล่าสาวกของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ก็ได้กลายเป็นมีพลังที่ทรงประสิทธิภาพ ประมาณตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 มีชาวคริสต์ล้านคน อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันและไกลออกไป ศาสนาคริสต์เป็นที่นิยมด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น
•ศาสนาโอบอุ้มทุกคน ทั้งชายและหญิง ผู้ที่เป็นทาส คนจนและขุนนาง
•ให้ความหวังแก่ผู้หมดหนทาง
•จิตวิญญาณของความเชื่อทำให้ผู้ที่ถูกรังเกียจจากรูปแบบการดำเนินชีวิตที่หรูหราของเศรษฐีชาวโรมันให้สนใจ
•ศาสนาคริสต์ให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความรักของพระเจ้า
•คำสอนของศาสนาคริสต์ส่งประกายให้ชีวิตนิรันดร์หลังความตาย
ในขณะที่ศาสนาขยายตัว ชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้การสนับสนุนสมาชิกของพวกเขา ชาวคริสเตียน ได้จัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียน และการบริการสังคม อื่น ๆ เป็นผลให้ความเชื่อมั่นของพวกเขาดึงดูดเหล่าสาวกมากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าก็เร็ว จำนวนของเหล่าสาวกจะรวมผู้ศรัทธาที่มีประสิทธิภาพมากให้เป็นหนึ่ง
การเปลี่ยนศาสนาของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ในคริสต์ศักราช 306 จักรพรรดิคอนสแตนติ (KAHN•stuhn•TEEN) กลายเป็นจักรพรรดิแห่งกรุงโรม ตอนแรก จักรพรรดิคอนสแตนติอนุญาตให้ประหัตประหารชาวคริสต์ อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศักราช 312 พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อศาสนาคริสต์ ในขณะที่พระองค์กำลังต่อสู้กับคู่แข่งสามคนเพื่อการเป็นผู้นำของกรุงโรม
ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ในท่ามกลางการต่อสู้ จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้อธิษฐานเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้น พระองค์ก็รายงานว่าได้มองเห็นไม้กางเขนของชาวคริสต์ในท้องฟ้าพร้อมกับคำพูดเหล่านี้: "ด้วยสัญลักษณ์นี้ ท่านจะพิชิต" พระองค์ได้สั่งทหารของพระองค์ นำสัญลักษณ์ไม้กางเขนไปติดไว้บนโล่และธงรบ จักรพรรดิคอนสแตนตินและกองกำลังของพระองค์ได้ชัยชนะการต่อสู้ จักรพรรดิผู้ได้รับชัยชนะได้ให้ความชื่อถือว่าความสำเร็จของพระองค์มาจากพระเจ้าของศาสนาคริสต์
การให้อำนาจตามกฎหมายแก่ศาสนาคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้หยุดการประหัตประหารชาวคริสต์ในทันที จากนั้นในพระราชกฤษฎีกาที่รู้จักกันว่า พระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan) พระองค์ได้ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นหนึ่งในศาสนาที่ต้องถูกตามกฎหมายของจักรวรรดิ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้สร้างวิหาร ใช้สัญลักษณ์คริสเตียนบนเหรียญ และทำให้วันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของการพักผ่อนและการเคารพบูชา แต่จักรพรรดิที่นับถือศาสนาคริสต์ของกรุงโรมองค์แรก ได้ขยายเวลาการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการของพระองค์เองจนสิ้นสุดพระชนม์ชีพของพระองค์
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
จักรพรรดิคอนสแตนติน (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช 280 – 337)
![]() |
ภาพโมเสกจักรพรรดิคอนสแตนติน |
จักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นนักรบที่อำมหิตและประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นนักศึกษาผู้เคร่งครัดศาสนาใหม่ของพระองค์ คือ ศาสนาคริสต์ พระองค์ได้เขียนคำอธิษฐานพิเศษสำหรับกองกำลังของพระองค์และพระองค์ยังได้เดินทางไปพร้อมกับโบสถ์เคลื่อนย้ายในเต็นท์ จักรพรรดิคอนสแตนติออกคำสั่งให้สร้างโบสถ์คริสต์เป็นจำนวนมากในจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ก่อตั้งเมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople – ปัจจุบันนี้ คือ กรุงอิสตันบูล, ตุรกี) เป็นเมืองหลวงใหม่ เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์เป็นเวลาถึงหนึ่งพันปีถัดมา พระองค์ถูกฝังอยู่ในโบสถ์ของผู้เผยแพร่ศาสนาในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในคริสต์ศักราช 337 อนุสาวรีย์ที่อุทิศให้กับอัครสาวก 12 คนล้อมรอบหลุมฝังศพของจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเป็นจักรพรรดิคริสเตียนคนแรก ถือว่าตัวเองเป็นอัครสาวกของพระเยซูองค์ที่ 13
----------------------------------------------
ศาสนาคริสต์เปลี่ยนแปลงกรุงโรม ในคริสต์ศักราช 380 จักรพรรดิธีโอโดเซียส (Theodosius) ได้ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของกรุงโรม สิบเอ็ดปีต่อมา จักรพรรดิธีโอโดเซียส ได้ปิดโบสถ์ที่ไม่ได้เป็นศาสนาคริสต์ทั้งหมด พระองค์กล่าวว่า "ประชาชนทุกชาติที่เราปกครองควรจะปฏิบัติศาสนาที่ปีเตอร์อัครสาวกส่งไปยังชาวโรมัน"
การเริ่มต้นของนิกายโรมันคาธอลิก ศาสนาคริสต์ในเมืองโรมันได้รับเอาโครงสร้างทั่วไป พระสงฆ์และผู้ดูแลวัดเชื่อฟังพระสังฆราช(bishops) หรือผู้นำคริสตจักรท้องถิ่น ตามประเพณีโรมันคาทอลิก บิชอปคนแรกของกรุงโรม คือ อัครสาวกปีเตอร์ ต่อมา บิชอปผู้ใหญ่แห่งกรุงโรมจะกลายเป็นบาทหลวงที่สำคัญที่สุดหรือสมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) นี่เป็นจุดเริ่มต้นของนิกายโรมันคาทอลิก นิกายศาสนาคริสต์นิกายหนึ่งที่ก่อรากฐานในกรุงโรม คาทอลิก (Catholic )หมายความว่า "สากล"
นักเขียนคริสเตียนในยุคแรกบางคน ที่ได้รับการเรียกว่าบิดาแห่งคริสตจักร ได้พัฒนาลัทธิความเชื่อหรือสภาวะของความเชื่อ ลัทธิความเชื่อนี้ได้ทำให้ความเชื่อเด่นขึ้นในรูปตรีเอกานุภาพ (สำหรับชาวคริสเตียน ชาวคริสตัง เรียกว่า ตรีเอกภาพ – Trinity) หรือการรวมกันเป็นหนึ่งในภาวะอันเป็นทิพย์สามภาวะ คือ พระบิดา พระบุตร (พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระเจ้าองค์เดียว ออกัสติน บิดาแห่งคริสตจักรจากแอฟริกาเหนือ สอนว่ามนุษย์ต้องการพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่จะได้รับความคุ้มครอง ต่อมาเขาก็สอนว่าคนไม่สามารถที่จะได้รับพระกรุณาคุณของพระเจ้าจนกว่าพวกเขาจะเป็นคริสตจักร
คริสตจักรยังได้พัฒนาพิธีกรรมทางศาสนาตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู การล้างบาป ซึ่งเป็นพิธีการทำให้บริสุทธิ์โดยน้ำ ได้ส่งสัญญาณการเข้ามาในคริสต์ของพระเยซู พิธีเป็นสัญลักษณ์การยอมรับผู้ศรัทธาทุกคนเข้ามาในศาสนา
เพื่อจะมีชีวิตอยู่แบบชีวิตคริสเตียนที่ดีเลิศและเพื่อเฉลิมฉลองการให้ศีลเหล่านี้พร้อมกัน ผู้ชายและผู้หญิงที่นับถือศาสนาคริสต์ ได้ก่อให้เกิดชุมชนที่เรียกว่า monasteries ขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าผู้ชายก็ได้เข้ามาสู่การบรรพชาที่สูงส่งของคริสตจักร กลายเป็นหัวหน้าบาทหลวง นักบวชและพระลูกวัด ศาสนาคริสต์เปลี่ยนจากนิกายขนาดเล็กไปสู่ศาสนาที่มีประสิทธิภาพ อุดมสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ศาสนาคริสต์เจริญขึ้น จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมลง
![]() |
ภาพนกพิราบที่หน้าต่างกระจกมหาวิหารนักบุญเปโดร มักจะใช้เป็นสัญลักษณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ |
การเสื่อมโทรมและล่มสลายของจักรวรรดิ
ความอ่อนแอในจักรวรรดิ
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 จักรวรรดิยังคงดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนมีคนมากที่สุด แต่เริ่มจะมีปัญหาภายในคุกคามการดำรงอยู่ของกรุงโรมมาเรื่อย ๆ
![]() |
กรุงโรมไม่สามารถหยุดการบุกรุกของชนเผ่าเจอร์มานิกที่บุกมาเป็นระลอก ๆ ได้ รูปปั้นทหารขี่ม้านี้ เป็นชนเผ่าเจอร์มานิก ที่เรียกกันว่า Lombards (ชนชาวแคว้นลอมบาร์ดี้) |
อ้างอิงจาก
http://www.trueplookpanya.com/new/asktrueplookpanya/questiondetail/682
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99
https://writer.dek-d.com/zoobigsf/story/viewlongc.php?id=768328&chapter=2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น